วัดเวียงสระ มีเนื้อที่ทั้งหมด 281 ไร่ 1 งาน 84 ตารางวา ปัจจุบันกรมศิลปากรสาขาที่ 8 จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้จดทะเบียนไว้แล้วเมื่อเดือน มกราคม 2527 เชื่อกันว่า เป็นวัดสร้างใหม่หลังจากการสร้างเมืองเวียงสระ เดิมเป็นวัดร้าง ตั้งติดกับคูเมืองเวียงสระโบราณ ภายในวัดมีสระน้ำวิหารอุโบสถ และกุฏิสงฆ์ ในสระน้ำ เมืองเวียงสระ เป็นเมืองที่มี ชื่อเสียงและมีความสำคัญทางศาสนาและประวัติศาสตร์ ซึ่งเชื่อกันว่าเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 10 -16 มีอาณาจักรแห่งหนึ่งมีอำนาจและมีอิทธิพลมากครอบคลุมจากชุมพรไปถึงชวา เรียกอาณาจักรนี้ว่าอาณจักรศรีวิชัย ซึ่งมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองไชยา รวมทั้งเมืองเวียงสระด้วย
แต่นักประวัติศาสตร์บางคน กล่าวว่าศูนย์กลางของการปกครองอยู่ที่เมืองปาเล็มบัง เกาะสุมาตรา แต่ก็ยังไม่ยุติจนกระทั่งบัดนี้ เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 11 – 12 ได้มีพราหมณ์ 2 คนพร้อมด้วยอาจารย์อีก 2 ท่าน กับ สมัครพรรคพวกอีกประมาณ 30,000 คน ได้ล่องเรือลงมาทางใต้ ได้ขึ้นบกที่เมืองตะโกลา (เมืองตะกั่วป่า ปัจจุบัน) และล่องลงมาตามลำน้ำตะกั่วป่า มาตั้งเมืองที่บ้านน้ำรอบบริเวณ ริมคลองพุมดวง ได้ตั้งชื่อเมืองว่า ระวะตี (บางท่านว่า ชื่อ ทวาราวดี) เนื่องจากเกิดไข้ห่าระบาดจึงอยู่ได้ไม่นาน ก็ได้อพยพมาตั้งเมืองที่ เมือง เวียงสระ ซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำ และได้ขุดคูเป็นปราการรอบเมือง เพื่อให้น้ำเข้ามาได้เมืองเวียงสระสมัยนั้นเจริญมาก มีการติดต่อค้าขายกับชาวจีนทางเรือ เมื่อ พ.ศ. 2527 กรมศิลปากร ได้ขุดพบเหรียญตราและของใช้ของจีนสมัยราชวงศ์เหม็ง และสมันนั้นตามประวัติ กล่าวว่าอาณาจักรศรีวิชัย กำลังเจริญรุ่งเรืองที่สุด จึงน่าสันนิษฐานได้ว่าเมืองเวียงสระ น่าจะเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัย
เชื่อกันว่าเมืองเวียงสระมีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 7 มีการติดต่อส่งทูตไปยังราชสำนักจีนในสมัยราชวงศ์เหลียง เมื่อราว พ.ศ.967
เมืองโบราณเวียงสระ เป็นเมืองและแหล่งชุมชนโบราณแห่งหนึ่งทางภาคใต้ เชื่อกันว่าเมืองเวียงสระมีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 7 จดหมายเหตุจีน กล่าวถึงเมืองพัน – พัน ว่าได้มีการติดต่อส่งทูตไปยังราชสำนักจีนในสมัยราชวงศ์เหลียง เมื่อราว พ.ศ.967 เมืองเวียงสระเจริญรุ่งเรืองสืบต่อกันมาเป็นเวลายาวนาน แต่ช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีหลักฐานการจารึกที่แน่ชัดว่ามีกษัตริย์ปกครองบ้านเมืองสืบต่อกันมาอย่างไร แต่มีหลักฐานทางโบราณวัตถุที่พอจะยืนยันได้แน่ชัดว่า เมืองนี้ได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนาจากอินเดียแน่นอน และเชื่อกันว่าการล่มสลายของเมืองเวียงสระน่าจะเนื่องมาจากการเกิดไข้ห่าระบาด บริเวณเมืองเวียงสระได้พบหลักฐานทางด้านโบราณคดีมากมาย ซึ่งมีตั้งแต่เครื่องมือหินสมัยก่อนประวัติศาสตร์และยุคต่อเนื่อง เรื่อยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อันนี้เองทำให้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าชุมชนโบราณเวียงสระนั้นได้มีการพัฒนาการต่อเนื่องเรื่อยมา ทั้งเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่และมีความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีค่อนข้างสูง หลักฐานทางโบราณสถานและโบราณวัตถุในอดีตมีอายุมากกว่า 1000 ปี มีดังนี้ เครื่องมือหินสมัยก่อนประวัติศาสตร์ พระพุทธรูป หินทรายแดงนูนสูง เทวรูปพระวิษณุหรือพระนารายณ์สวมหมวกทรงกระบอกทำด้วยศิลา พระวิษณุหรือพระนารายณ์ 4 กร พระ-วฑุกะไภลพ ซึ่งเป็นบริเวณเมืองเวียงสระและบริเวณรายรอบนั้นก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความเจริญรุ่งเรืองในด้านความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์และพุทธศาสนาลัทธิมหายานได้เป็นอย่างดี
ลักษณะของคูเมืองได้รับการขุดเชื่อมต่อกันของคลองตาล กับแม่น้ำตาปี นับเป็นการพัฒนาการทาง ด้านการสร้างเมือง โดยการใช้คูคลองธรรมชาติเป็นคูเมือง จึงทำให้นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีตั้งข้อสังเกตว่า บริเวณเมืองเวียงสระนั้นเป็นเมืองโบราณที่เก่าแก่มากที่สุดเมืองหนึ่งบนคาบสมุทรมาลายู เป็นเครื่องชี้ถึงแหล่งอารยธรรมอินเดียที่มีในดิน-แดนนี้ ซึ่งมีต่อเนื่องกันมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 11 ถึงพุทธศตวรรษที่15-16 อาจเป็นแหล่งที่ชาวอินเดียเข้ามาตั้งเป็นชุมชนเมื่อครั้งที่เคยใช้เส้นทางผ่านข้ามคาบสมุทรจากทะเลอันดามันไปยังอ่าวไทยตาม เส้นทางจากตะกั่วป่าเมืองเวียงสระไปออกอ่าวบ้านดอน
สิ่งที่น่าสนใจ
การเดินทาง
สถานที่ตั้ง
ช่วงเวลา ฤดูกาลที่เหมาะแก่การท่องเที่ยว